วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

Let / Let's

Let / Let's
🍬 Let (v.) ให้, อนุญาต, ขอให้, ปล่อย 🍬
เช่น 
- Let me go! (ปล่อยฉันนะ!)
- Wait, let me check. (แป๊บนะ ขอเช็คดูก่อน)
หรือนึกถึง Elsa ก็ได้ค่ะ Let it go (ปล่อยมันไป)
เห็นมั้ยว่าไม่เติม 's อีโมติคอน kiki
 Let's = กันเถอะ
ถ้าเติม 's คือย่อมาจาก Let us ค่ะ
ใช้พูดคนเดียวไม่ได้นะคะ ในวงสนทนาต้องมี 2 คนหรือมากกว่าเท่านั้นค่ะ
เช่น
Let's go outside to kill the zombies.
(ออกไปฆ่าพวกซอมบี้กันเถอะ)

Horse กับ Pony ต่างกันยังไง?

- Horse ใช้เรียกม้าที่มีขนาดปกติทั่วไป
- Pony ใช้เรียกม้าพันธุ์เล็ก

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

ปกป้อง, ป้องกัน 

ปกป้อง, ป้องกัน
 Defense (v.) ป้องกัน - ใช้กับการป้องกันแบบต่อสู้
เช่น Take this to defense yourself.
Protect (v.) ปกป้อง - ใช้กับสิ่งที่น่าถนอม
เช่น Protect your skin.
Prevent (v.) ป้องกัน - ใช้กับการป้องกันสิ่งที่อันตราย
เช่น Action must be taken to prevent further accidents.
//Admin Nikki

การพูดความรู้สึก

เวลาเราต้องการจะพูดแสดงความรู้สึก (Feeling) ในภาษาอังกฤษ มักจะมี - ing และ - ed เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเจ้าสองตัวนี้ จะให้ความหมายที่ต่างกัน จำง่ายๆตามนี้นะคะ
- ing น่า
- ed รู้สึก
อีโมติคอน heart ตัวอย่าง อีโมติคอน heart
A Math teacher is boring.
ครูสอนคณิตศาสตร์เป็นคนน่าเบื่อ
All students feel bored to attend her class.
นักเรียนทุกคนรู้สึกเบื่อที่ต้องเข้าเรียนคาบสอนของเธอ
This book is very interesting.
หนังสือเล่มนี้น่าสนใจมาก
I'm interested to read it.
ฉัน(รู้สึก)สนใจที่จะอ่านมัน
Speaking in front of classmates is exciting for Sara.
การพูดหน้าชั้นเรียนเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับซาร่า
She always be excited when she do it.
เธอมักจะ(รู้สึก)ตื่นเต้นเวลาทำมัน
Admin Olive อีโมติคอน kiki

Punctuation (เครื่องหมายวรรคตอน) 



 1. Apostrophe (')  ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ
Ex. Thorin's Arkenstone. (เพชรอาร์เคนสโตนของธอริน)
*แต่ถ้ากรณีที่ noun นั้นลงท้ายด้วย s อยู่แล้ว หรืออาจจะเป็นชื่อคนที่ลงท้ายด้วยตัว s เวลาใช้เครื่องหมาย (') เราก็ไม่ต้องเติม s เพิ่มด้านหลังหรอกนะคะ >__< เช่น Anubis' power.
 2. Colon (:)  ใช้เมื่อต้องการแสดงตัวอย่าง
Ex. There are several tribes in LOTR trilogy: human, dwarf, elf, hobbit, goblin, orc, etc. (ในภาพยนตร์ไตรภาคอย่าง The Lord of the Rings นั้นมีหลายเผ่าพันธุ์อยู่ด้วยกัน อาทิเช่น มนุษย์, คนแคระ, เอลฟ์, ฮอบบิท, ก็อบลิน เป็นต้น)
 3. Hyphen (-)  ใช้เชื่อมคำ
Ex. A-ten-year-old-boy.
(ถ้าใช้เครื่องหมาย hyphen เราจะไม่เติม s ตรง year นะคะ)
Ex.2 Project-based Approach.
(ถ้าใช้เครื่องหมาย hyphen เชื่อม ตัว b ตรงคำว่า based ก็ควรเป็นตัวพิมพ์เล็กค่ะ แต่ถ้าไม่ใช้เครื่องหมายดังกล่าว ตัว b นั้นก็จะเป็นตัวพิมพ์ใหญ่แบบนี้เด้อค่าา Project Based Approach)
 4. Period (.)  ใช้จบประโยค
Ex. - That's great.
- a.m. (บอกเวลา)
- Mr.
 5. Exclamation (!)  หรือก็คือเครื่องหมายอัศเจรีย์ มักใช้กับคำอุทานต่างๆ เพื่อสื่อถึงอารมณ์ที่หนักแน่น รุนแรง
Ex. - Danger! (อันตราย!)
- In your dream! (ฝันไปเถอะย่ะ!)
- Awesome! (แหล่มไปเลย!)
 6. Em-rule (—)  ใช้ขยายตัวที่อยู่ข้างหน้า
Ex. A pet — an animal fed domestically.
วิธีพิมพ์: กด Ctrl + Alt + เครื่องหมาย (-)
 7. En-rule (–)  ใช้เชื่อมตัวเลขหรือวันที่
Ex. 2003–2013
 8. Quatation ("...")  เป็นเครื่องหมายคำพูด ใช้กับประโยคคำพูด
Ex. "It was secret." Luna said.
ยังมี punctuation อีกหลายตัวเลย ลองเข้าไปดูกันได้ตามลิ้งค์นี้นะคะ http://www.kimskorner4teachertalk.com/…/co…/punctuation.html
//Admin Nikki

วลีน่ารู้

Say what? = ว่าไงนะ, พูดอะไรน่ะ?
เป็นภาษาไม่เป็นทางการ ไว้ใช้กับเพื่อนหรือกลุ่มคนสนิทได้ค่ะ แต่ถ้าอยากให้ถูกแกรมม่า ก็ต้องพูดว่า What did you say? นะคะ
หรือจะใช้ประโยคนี้ก็ได้เหมือนกันค่ะ
Did you say something? (เมื่อกี้เธอพูดอะไรรึเปล่า, ตะกี้เธอว่าไงนะ)
หรือถ้าเพื่อนพูดมาแล้วเราฟังไม่ถนัด ก็สามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้ได้ค่ะ
What?  อะไรนะ
Sorry, what?  โทษที ว่าไงนะ
I didn't get that.  ไม่เข้าใจอ่ะ, งงอ่า
I didn't catch that.  ฟังไม่ทันอ่ะ
Say that again.  พูดอีกทีซิ
Hmm?  หืม?
Huh?  หา?
แต่ถ้าอยากให้สุภาพก็
🌿 Pardon me? Could you repeat that again, please?
🌿 Excuse me? Could you repeat that again, please?
(ประทานโทษนะคะ รบกวนพูดซ้ำอีกทีได้มั้ยคะ)
*Pardon นี่เป็นทางการแล้วก็สุภาพมากๆ เลยค่ะ
//Admin Nikki

คำคมจากหนังสือ‬


"If you want to know what a man's like, take a good look at how he treats his inferiors not his equals." - Sirius Black
>>> "ถ้าคุณต้องการรู้ว่าคนคนหนึ่งเป็นคนอย่างไร คุณควรจะดูวิธีที่เขาปฏิบัติต่อคนที่มีฐานะต่ำกว่าเขา ไม่ใช่คนที่มีฐานะเท่าเทียมกับเขา" - ซิเรียส แบล็ค
//Admin ‪#‎Alan

คำศัพท์น่ารู้

I am not that...(adj.)... = ฉันไม่ได้...ขนาดนั้น
e.g.
♡ Uh, I am not that wise.
เอ่อ...ฉันก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้นหรอก (ถ่อมตัว)
♡ Leo is not that wicked.
ลีโอไม่ได้ร้ายกาจขนาดนั้น
♡ Tadashi is not that arrogant.
ทาดาชิไม่ได้หยิ่งขนาดนั้นหรอกนะ
♡ Well, it is not that bad.
แหม ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นซะหน่อย
//Admin Nikki

วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558

เกร็ดความรู้-10 วิธีเจ๋งๆ ในการฝึกภาษาอังกฤษ ให้เก่งได้ด้วยตัวเอง !!

การฝึกภาษาอังกฤษ อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับหลายคน แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกยุคปัจจุบันและอนาคต ภาษาอังกฤษจะมีบทบาทสำคัญและสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการรู้ภาษาย่อมทำให้ได้เปรียบนั่นเอง สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องการฝึกภาษาอังกฤษ วันนี้เราก็มีข้อมูลมาแนะนำให้ลองทำด้วย 10 วิธีการฝึกภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ซึ่งคิดว่าไม่น่าจะยากเกินไปเลยครับ
   1. ตามอ่านอะไรที่เราสนใจ ตอน เด็กๆหลายคนอาจจะไม่ชอบภาษาอังกฤษ เพราะโดนครูบังคับให้อ่านเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่ลองเริ่มอ่านเรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน กีฬา ดนตรี ข่าวซุบซิบดาราฝรั่ง หรือมุมขำๆในหนังสือพิมพ์ จำไว้เลยว่าไม่มีอะไรไร้สาระ เพราะเรากำลังเรียนรู้อยู่
    2. ฟังวิทยุให้ชินการฟังวิทยุนั้นจะช่วยให้เราได้ฟังทั้งเสียงคนพูด รวมถึงเสียงร้องเพลง เป็นการฝึกหูในชินกับภาษาในหลายๆรูปแบบอีกวิธีหนึ่งด้วย
    3. ไม่จำเป็นต้องแปลเป็นภาษาไทย การฝึกภาษาอังกฤษให้เข้าใจนั้น ไม่จำเป็นที่เราต้องอ่านหรือฟังแล้วแปลเป็นภาษาไทย อาจจะสงสัยว่าไม่แปลเป็นไทยแล้วจะเข้ะาใจยังไง การไม่พยายามแปลเป็นไทยจะช่วยให้เราสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วขึ้นด้วย
    4. แปะกระดาษโน้ตบนสิ่งของต่างๆวิธี นี้จะเหมือนการเอาข้าศึกมาล้อมเมือง การแปะชื่อสิ่งของต่างๆที่เราใช้เป็นภาษาอังกฤษ ช่วยทำให้ชีวิตได้คุ้นเคยกับคำเหล่านี้มากขึ้น และเป็นการฝึกอ่านฝึกความเข้าใจไปในตัวด้วย
   5. ดูทีวีและภาพยนตร์ภาษาอังกฤษ การดูภาพ ฟังเสียง และอ่านซับไตเติ้ลภาษาไทยไปพร้อมๆกัน ช่วยฝึกประสาทการรับรู้ในหลายๆช่องทาง ซึ่งต่อไปก็สามารถเปลี่ยนจากซับไทย เป็นซับอังกฤษ ไปจนถึงขั้นปิดซับได้ในท้ายที่สุด
    6. เล่นเกมที่ใช้คำภาษาอังกฤษบ่อยๆ สมัย นี้มีเทคโนโลยีอย่างสมาร์ทโฟน เราจึงสามารถหาแอพพลิเคชั่นเกมภาษาอังกฤษ เช่น Crosswords มาเล่นแก้เบื่อในยามว่างได้ ทีนี้ก็ลองเปลี่ยนจากแชทไลน์มาเป็นเล่นเกมแนวนี้แทน จะช่วยพัฒนาได้อีกทาง
    7. ใช้คำต่างๆเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น วิธีนี้หลายคนอาจจะมองดูว่ากระแดะหรือเปล่า? จริงๆแล้วเป็นเพียงการใช้คำให้ถูกกับภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยพยายามพูดอังกฤษบ่อยๆในศัพท์ที่ใช้ได้ เช่นเปลี่ยนคำว่ามือถือ เป็น Smart Phone เปลี่ยนคำว่า นาฬิกาปลุก เป็น Alarm เป็นต้น
    8. ทำลิสต์ต่างๆให้เป็นภาษาอังกฤษ ขั้นตอนนี้อาจจะลำบากในตอนแรก แต่ถ้าเราลองลิสต์ต่างๆให้เป็นอังกฤษจะช่วยเราให้คุ้นเคยได้มากขึ้น อย่างเช่น ลิสต์กิจกรรมที่ต้องทำพรุ่งนี้ ลิสต์ตารางไปเที่ยวพักผ่อน หรือลิสต์ของที่ต้องซื้อเข้าบ้าน ให้เป็นภาษาอังกฤษซะ
    9. ลงทุนซื้อ Dictionary ดีๆสักเล่ม นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่า แม้จะมีราคาค่อนข้างแพงไปบ้าง แต่ก็ช่วยให้เราสามารถเข้าใจและพัฒนาภาษาไปได้ดีกว่า (สำหรับคนทุนน้อยจริงๆ ข้อนี้อาจจะข้ามไปได้บ้าง)
    10. เราชอบอะไร ทำสิ่งนั้นเป็นภาษาอังกฤษ ความชอบ ความรัก มันทำให้เราสามารถทำอะไรก็ได้อย่างมีความสุขและไม่น่าเบื่อ ถ้าชอบทำอาหาร ก็เปลี่ยนเมนูอาหารเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าชอบเล่นกีฬาหรือดนตรี ก็ดาวน์โหลดวิดีโอการฝึกซ้อมแบบภาษาอังกฤษมาดู ถ้าชอบเล่นเกมก็ฝึกอ่านคู่มือเกมภาษาอังกฤษ เราก็จะหลงรักมันโดยไม่รู้ตัวเลยล่ะ

คำว่า its ไม่ใช่รูป พหูพจน์ ของ it

คำว่า its ไม่ใช่รูป พหูพจน์ ของ itแต่เป็นคำ adjective แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive adjective) แปลว่า ของมัน (สัตว์ หรือ สิ่งของ) หรือ ของสถานที่นั้น ของประเทศนั้นๆ เช่น

Thailand and its government ประเทศไทยและรัฐบาลไทย
Bangkok and its vicinity กรุงเทพและปริมลฑล
My dog and its food สุนัขของฉันและอาหารของมัน

เช่น I just went downstairs and saw my little puppy eating its food แปล
ว่า มะกี๊เพิ่งลงไปข้างล่ามา เห็น "ไอ่แสบ" หมาน้อยของอาจารย์ต้นกำลังกินอาหารของมันอยู่

ส่วนคำพหูพจน์ของ it ก็คือคำว่า they ไงล่ะคะ แต่พวกเรามักจะไม่ค่อยกล้าใช้ they แทนสิ่งที่ไม่ใช่คน เพราะเคยโดนหลอกมาตั้งแต่เด็กว่า they แปลว่า พวกเขาทั้งหลาย จริงๆแล้ว theyใช้แทนคำนามได้ทุกชนิดเลยนะคะที่มีมากกว่าหนึ่งสิ่ง(พหูพจน์) เช่น

the banks=they, three little birds=they, those gigantic rocks=they, my and my Iphone=they, the speakers of my PC=they
คำว่า its ไม่ใช่รูป พหูพจน์ ของ it นะคะ****

แต่เป็นคำ adjective แสดงความเป็นเจ้าของ (possessive adjective) แปลว่า ของมัน (สัตว์ หรือ สิ่งของ) หรือ ของสถานที่นั้น ของประเทศนั้นๆ เช่น

Thailand and its government ประเทศไทยและรัฐบาลไทย
Bangkok and its vicinity กรุงเทพและปริมลฑล
My dog and its food สุนัขของฉันและอาหารของมัน

เช่น I just went downstairs and saw my little puppy eating its food แปล
ว่า มะกี๊เพิ่งลงไปข้างล่างมา เห็น "ไอ่แสบ" หมาน้อยของอาจารย์ต้นกำลังกินอาหารของมันอยู่

ส่วนคำพหูพจน์ของ it ก็คือคำว่า they ไงล่ะคะแต่พวกเรามักจะไม่ค่อยกล้าใช้ they แทนสิ่งที่ไม่ใช่คน เพราะเคยโดนหลอกมาตั้งแต่เด็กว่า they แปลว่า พวกเขาทั้งหลาย จริงๆแล้ว theyใช้แทนคำนามได้ทุกชนิดเลยนะคะที่มีมากกว่าหนึ่งสิ่ง(พหูพจน์) เช่น

the banks=they, three little birds=they, those gigantic rocks=they, my and my Iphone=they, the speakers of my PC=they

ปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย

ในปัจจุบันมีคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่คนไทยใช้กันจนติดปากอยู่มากมาย แต่คุณเคยรู้ไหมว่ามีบางคำที่ฝรั่งเค้าไม่ได้ใช้อย่างที่เราพูดกันติดปาก
จึงเสนอคำศัพท์สัก 10 ตัวอย่างที่คนไทยมักใช้อย่างผิดๆ
พร้อมทั้งคำที่ถูกต้องซึ่งคุณควรนำไปใช้เวลาคุยกับฝรั่ง เริ่มเลยแล้วกัน


1) อินเทรนด์ (in trend) คำนี้อินเทรนด์มากๆ เอ๊ย...ฮิตมากๆ ในปัจจุบัน สามารถได้ยินตามรายการวิทยุหรือโทรทัศน์ทั่วไป เพราะใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง เช่น เด็กสมัยนี้ถ้าจะให้อินเทรนด์ต้องตามแฟชั่นเกาหลี ซึ่งบางทีเวลาคุณต้องการพูดว่า "มันทันสมัย" คุณอาจจะติดปากว่า "It is in trend." คำว่า "ทันสมัย" ฝรั่งเค้าไม่ใช้คำว่า "in trend" อย่างคนไทยหรอกครับ เค้าจะใช้คำว่า "trendy" หรือ "fashionable" ซึ่งเป็นคำคุณศัพท์ที่คุณสามารถวางไว้หน้าคำนามที่ต้องการขยาย เช่น a trendy haircut ทรงผมที่ทันสมัย, a fashionable restaurant ร้านอาหารที่ทันสมัย หรือจะไว้หลัง verb to be เช่น It is trendy.หรือ It is fashionable. ก็ได้


2) เว่อร์ (over) เช่น ใยคนนั้นทำอะไรเว่อร์ๆ She is over. ไม่มีความหมายแต่อย่างใดในภาษาอังกฤษ ฝรั่งที่ได้ยินคุณพูดเช่นนี้ คงมึนตึบ พร้อมทำสีหน้างงว่ามันหมายถึงอะไรเหรอพูดถึงคำนี้ คนไทยน่าจะหมายถึงการพูดเกินจริงหรือทำเกินจริง ซึ่งถ้าพูดเกินจริง ควรจะใช้คำศัพท์ที่ว่า "exaggerate" เป็นคำกิริยา อ่านว่า เอก-แซ้ก-เจ่อ-เรท เช่น

"He said you walked 30 miles." 
เค้าบอกว่าคุณเดินตั้ง 30 ไมล์
"No - he's exaggerating. It was only about 15." 
ไม่หรอก เค้าพูดเว่อร์ (เกินจริง) มันก็แค่ 15 ไมล์เอง

*****ดังนั้น ถ้าจะบอกว่า เธอพูดเว่อร์น่ะ ก็บอกว่า You're exaggerating. หรือจะบอกเค้าว่า อย่าพูดเว่อร์ๆ น่ะ อาจใช้ว่าDon't exaggerate. ส่วนอาการเว่อร์อีกแบบคือการทำเกินจริง เราจะใช้คำกิริยาที่ว่า "overact" เช่น You're overacting.เธอทำเว่อร์เกิน (แสดงอารมณ์เกินจริง)



3) ดูหนัง soundtrack เวลาคุณจะบอกใครว่า ฉันต้องการดูหนังฝรั่งที่พากย์ภาษาอังกฤษ อย่าพูดว่า "I want to watch a soundtrack film." แต่ควรจะใช้ว่า "I want to watch an English film." เพราะความหมายของคำว่า "soundtrack" คือ ดนตรีที่อยู่ในภาพยนตร์ ต่างหากล่ะ
ถ้าเราจะพูดถึงหนังฝรั่งที่พากย์เสียงภาษาไทย เราต้องบอกว่า "I want to watch an English film that is dubbed into Thai." เพราะคำกิริยาว่า "dub" คือพากย์เสียงจากต้นแบบในหนังหรือรายการโทรทัศน์ไปเป็นภาษาอื่น ส่วนหนังที่มีคำบรรยายใต้ภาพเราเรียกว่า "a subtitled film" ซึ่งคำบรรยายที่อยู่ใต้ภาพ เราเรียกว่า "subtitles" (ต้องมี ต่อท้ายเสมอนะครับ) เช่น a French film with English subtitles หนังฝรั่งเศสที่มีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาอังกฤษ

****หนังบางเรื่องจะมีคำบรรยายใต้ภาพเป็นภาษาเดียวกับที่นักแสดงพูด เรามีศัพท์เรียกเฉพาะว่า "closed-captioned films/คำหวงห้าม/television programs" หรือ อาจเขียนย่อๆ ว่า "CC" เช่น You should watch a closed-captioned film to improve your English. คุณควรจะดูหนังฝรั่งที่มีคำบรรยายภาษาอังกฤษเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษของคุณ



4) นักศึกษาปี คนไทยมักเรียกว่า "freshy" ซึ่งฝรั่งไม่รู้เรื่องหรอกครับ เพราะไม่มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า "fresher" หรือ "freshman" เช่น He is a fresher. หรือ He is a freshman. หรือ He is a first-year student. เขาเป็นนักศึกษาปี ส่วนปีอื่นๆ คนไทยเรียกถูกแล้วครับ คือ ปี เราเรียก a sophomore, ปี เรียกว่า a junior และ ปี เรียกว่า a senior



5) อัดหรือบันทึก คนไทยมักพูดทับศัพท์ว่า เร็คคอร์ด (record) คำๆ นี้สามารถเป็นได้ทั้งคำนามและคำกิริยา เพียงแค่เปลี่ยนตำแหน่ง stress กล่าวคือ ถ้าจะใช้เป็นคำนามที่แปลว่า แผ่นเสียงหรือสถิติ ให้ขึ้นเสียงสูงที่พยางค์แรก คือ "เร็ค-คอร์ด" เช่น He wants to buy a record. เขาต้องการซื้อแผ่นเสียง, I broke my own record. ฉันทำลายสถิติของฉันเอง แต่ถ้าคุณจะหมายถึงคำกิริยาที่แปลว่า อัดหรือบันทึก ต้อง stress พยางค์หลัง ซึ่งจะอ่านว่า "รี-คอร์ด" เช่น I'll record the film and we can all watch it later. ฉันจะอัดหนัง เราจะได้เก็บไว้ดูทีหลังได้ ส่วนเครื่องบันทึก เราเรียกว่า "recorder" อ่านว่า รี-คอร์-เดอร์



6) ต่างคนต่างจ่าย เรามักใช้ American share รับรองว่าฝรั่ง(ต่อให้เป็นชาวอเมริกันด้วยครับ) ได้ยินแล้ว งงแน่นอน ถ้าคุณจะหมายถึงต่างคนต่างจ่ายให้ใช้ว่า "Let's go Dutch." หรือ "Go Dutch (with somebody)." อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นธรรมเนียมของชาวดัตช์หรือเปล่าที่ต่างคนต่างจ่ายเลยมีสำนวนอย่างนี้ หรือคุณอาจจะบอกตรงๆ เลยว่า "You pay for yourself." คือเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างจ่าย แต่ถ้าคุณต้องการเป็นเจ้ามือ(ไม่ใช่เล่นไพ่นะครับ)เลี้ยงมื้อนี้เอง คุณควรพูดว่า"It's my treat this time." หรือ "My treat." หรือ "It's on me.หรือ "All is on me.หรือ "I'll pay for you this time." ทั้งหมดแปลว่า มื้อนี้ฉันจ่ายเอง ส่วนถ้าจะบอกเพื่อนว่า คราวหน้าแกค่อยเลี้ยงฉันคืน ให้บอกว่า "It's your treat next time."



7) ขอฉันแจม (jam) ด้วยคน ในกรณีนี้คำว่า "แจม" น่าจะหมายถึง "ร่วมด้วย" เช่น We are going to eat outside. Do you want to jam? เรากำลังจะออกไปกินข้าวข้างนอก เธอจะไปด้วยมั้ยในภาษาอังกฤษไม่ใช้คำว่า jam ในกรณีแบบนี้ ซึ่งควรจะใช้ว่า "Do you want to join us?", "Do you want to come with us?" หรือ "Do you want to come along?"จะดีกว่าครับ



8) เขามีแบ็ค (back) ดี "He has a good back." ฝรั่งคงงงว่ามันเกี่ยวอะไรกับข้างหลังของเค้า เพราะ back แปลว่า หลัง (อวัยวะ) แต่คุณกำลังจะพูดถึงมีคนคอยสนับสนุน ซึ่งต้องใช้ "a backup" ซึ่งหมายถึง คนหรือสิ่งของที่ช่วยสนับสนุน ช่วยเหลือ เกื้อกูล เป็นกำลังใจให้









เครดิตความรู้ดีๆจาก  http://woratana.exteen.com/

เกร็ดความรู้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน

เวลาที่พูดทักทายกันโดยปกติเราเคยได้ยินหรือใช้เพียงแค่ How are you? ใช่ไหม 
ประโยคข้างล่างนี้ใช้แทนกันได้ จำๆเอาไว้นะ 
เวลาได้ยินประโยคพวกนี้จะได้เข้าใจว่าเขาถามเราว่า How’re you?

How’s it been? ที่ผ่านมา เป็นยังไงบ้าง
How have you been?
How have you been up to?
How’s it going?
How’s everything?

What’s new? (informal) ไงวะ
What’s up? (informal)

เคยบ้างไหมที่บางทีเราเดินเล่นอยู่ดีๆ ก็เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมากๆๆๆ อยากรู้ไหมว่าสถานการณ์แบบนี้เขาทักทายกันอย่างไร มาดูกันเลย......... 

I haven’t seen you in year! ไม่เจอกันนานเลยนะ
Long time no see! (informal)
I haven’t seen you in an age!

หลังจากที่ทำการทักทาย และมีการถามว่าสบายดีไหม 
เราก็ต้องตอบออกไปทำนองว่า ดี งั้นๆ หรือแย่ ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา ไม่ใช่ตอบ I’m fine. อย่างเดียว มาดูกันนะครับว่าที่อเมริกาเขาตอบกันอย่างไร 
ตอบในแง่สุขภาพหรือไม่ก็ สบายดี แข็งแรง 

I’m fine. สบายดี
Fine.
Okay.
All right.
Great.
Keeping cool.
I’m cool. (slang) สบายดีว่ะ

ตอบในแง่บวก ประมาณว่า ดี ไม่มีปัญหา 

Keeping out of trouble. ไม่มีปัญหา
Been keeping out of trouble.
Keeping busy. ดี (แบบทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ)
Keeping myself busy.
Been keeping myself busy.
ตอบในกลางๆ ประมาณว่า งั้นๆ 

Same as always. เหมือนเดิม
Same as usual.
Getting by. ก็อยู่ได้นะ
Been getting by.
So-so. (informal) งั้นๆว่ะ

ตอบในแง่ลบ ประมาณว่า แย่ ไม่ดี
Not good. ไม่ดีเลย
Not so good.
Not well.
Not very well.
Not so well.
Not great.
Not so great.
Crummy. (slang) แย่ว่ะ
Kind of crummy. (slang)